หนูขอท้าวความก่อนนะคะ หลังจากที่หนูจบปริญญาตรีจาก … หนูมาสมัครเรียนต่อปริญญาโทที่สถาบัน …. มหาวิทยาลัย …. ในวันที่สอบสัมภาษณ์มีอาจารย์ประมาณสิบคนเป็นกรรมการ หลังจากวันสัมภาษณ์ประมาณหนึ่งสัปดาห์มีอาจารย์โทรมา แกเป็นผู้หญิงค่ะ อายุห้าสิบกว่า แกก็บอกหนูว่าแกเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่สัมภาษณ์หนูในวันนั้น ดูจากผลการสอบสัมภาษณ์คิดว่าก็น่าจะผ่านได้เข้าเรียน และเสนอว่าตอนนี้อาจารย์มีทุน โครงการปริญญาเอก… อยู่ในมือ (ทุนนี้นักเรียนต้องมีชื่อแรกในเปเปอร์ 2 เปเปอร์) สำหรับการทำวิจัยเรื่องนึง สนใจไหม อาจารย์แกก็บอกให้ลองเอาไปคิดดูค่ะ และยังบอกว่าแกมีลูกศิษย์คนนึงที่จบเอกจากแก และตอนนี้ไปเป็นอาจารย์อยู่ที่ ….. ให้หนูไปลองคุยกับเขาดูได้ค่ะ จากงานวิจัยที่แกพูดมาเป็นแนวทางที่หนูมีความสนใจ และหนูก็ลองไปคุยกับอาจารย์ที่ … ที่เป็นลูกศิษย์ ป.เอก ของแกค่ะ คำถามนึงที่หนูถามคือ อาจารย์ใจดีไหม อาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ ป. เอก ก็พูดอ้อมๆบอกว่าอาจารย์แต่ละคนก็มีสไตล์เป็นของตนเอง (ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้เอะใจอะไร) และก็บอกว่าอาจารย์เป็นคนเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ค่ะ หลังจากนั้นหนูก็มีการปรึกษากับครอบครัว และสุดท้ายก็ตัดสินใจรับทุนและเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษาปริญญาโทมาเป็นเอก
หลังจากเข้ามาเรียน course work ในสถาบันก็จะมีรุ่นพี่หรือเจ้าหน้าที่มาถามว่าน้องใหม่มีแลปหรือยัง เราก็ตอบไปว่ามีแล้วแลปอาจารย์คนนี้ค่ะ ทุกคนมีปฏิกิริยาเดียวกันเมื่อได้ยินชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาของหนูคือ หงายเงิบเบาๆ ยิ้มแหยๆ และพูดว่า เออ! อาจารย์เค้าก็ดี หนูก็เริ่มใจไม่ดีตั้งแต่บัดนั้น พอมาเรียนวิชาที่แกสอนก็ใจไม่ดีหนักเข้าไปอีกจากการที่เห็นเค้าต่อว่าเด็กนักเรียนใน class ระหว่างนั้นก็มีคนเตือนอาจารย์บางท่านก็เตือนด้วยความหวังดีว่าเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาใหม่ดีไหม แต่หนูก็คิดว่าอยากจะลองดูสักตั้งอาจจะไหวก็ได้ หลังจากเรียนจบ course work ก็เข้าแลปทำวิจัยเต็มตัว และที่แลปจะมี lab meeting กับแกทุกวันจันทร์ทำให้หนูเห็นว่าหากทำงานไม่ตรงใจแก หรือทำอะไรผิด ก็จะถูกตวาด ต่อว่าอย่างรุนแรงบ้างไม่รุนแรงบ้าง เวลาผ่านไปก็ได้เห็นอุปนิสัยแกมากขึ้นทำให้รู้ว่าแกเป็นคนขี้วีน อะไรไม่ได้ดั่งใจก็ตวาด ตะคอกเด็กนักเรียน พูดเอาดีเข้าตัว ชั่วเข้าคนอื่น ความสำเร็จใดๆ สิ่งที่ดีใดๆคือมาจากแก แต่ปัญหาหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือมาจากนักเรียน ทำให้หนูไม่เคยรู้สึกถึงบรรยากาศของการเรียนรู้ที่แท้จริง บรรยากาศของการที่อาจารย์กับนักเรียนจับมือสู้ไปด้วยกันแต่เหมือนอาจารย์เป็นเจ้านาย นักเรียนเป็นคนรับใช้ซะมากกว่า ด้วยเหตุนื้ทำให้เมื่อเกิดปัญหาเรื่องงานวิจัยขึ้นมาก็จะรู้สึกไร้ที่พึ่ง
ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร สรุปคือนอกจากจะต้องเครียดเรื่องแลปแล้วยังจะต้องมาเครียดเรื่องคน (ซึ่งก็คืออาจารย์ที่ปรึกษา) ทำให้หนูอดอิจฉาเพื่อนๆแลปอื่นไม่ได้ เพื่อนบางคนพูดกับหนูว่าหากเค้าตั้งใจทำแลปอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ถ้าผลที่ได้ไม่เป็นไปตามคาดหรือเกิดปัญหาอะไรขึ้น ถึงจะเครียด
แต่ลึกๆก็ก็ยังรู้สึกอุ่นใจว่ายังมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่จะสามารถช่วยเหลือให้ปัญหาทุกอย่างผ่านไปได้ หนูฟังแล้วน้ำตาจะไหล แต่สุดท้ายตอนนั้นหนูก็บอกกับตัวเองว่าโอเค ถ้าแกวีนแค่เรื่องงานเราอดทนได้ (ถึงตรงนี้หนูขอแสริมว่าหลังจากเข้าแลปหนูมีโอกาสได้เจออาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ปรึ
กษาหนู ที่หนูเคยไปคุยด้วยอะค่ะ เจออยู่สองสามครั้ง ครั้งนึง แกก็มาถามว่าอยู่แลปนี้เป็นไง และบอกอีกว่า อาจารย์แกก็เป็นแบบนี้แหละนะ อ่าว! ครั้งต่อมาแกก็พูดว่าแกบอกกับตัวเองว่าถ้าตัวเองเป็นอาจารย์จะไม่ทำตัวแบบอาจารย์ที่ปรึกษาหนู อ่าว! ตอนแรกไม่เห็นจะให้ข้อมูลอะไรเราเลยเรื่องนิสัยส่วนตัวอาจารย์) หนูก็อดทนมาเรื่อยๆจนเข้าปีที่สี่ มันมีเหตุการณ์คือ อาจารย์แกเหมือนมีอคติกับหนู หนูไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ได้แต่สันนิษฐานว่า
- หนูอาจไปทำอะไรที่กระทบ ego แกและทำให้แกเสีย self และ
- ตอนนั้นแลปมีปัญหาหนูก็ทำการทดลองสองสามอย่างเพื่อหาทางแก้ปัญหานั้น แต่หนึ่งในการทดลองที่หนูทำหนูไม่ได้ปรึกษาแกก่อน หนูหาข้อมูลเองแล้วก็ลองทำ preliminary experiment เล็กๆ และพบว่าแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ หนูจึงเอาไปบอกแก แต่หนูไมรู้จริงๆว่าการที่หนูทำ preliminary experiment
ข้างต้นนั้นไปทำให้แกโกรธมากๆได้อย่างไร เวลาพูดเรื่องนี้ทีไรแกก็เอาแต่ต่อว่า และพูดว่าจะทำทำไม ทำไปก็เอาลงเปเปอร์ไม่ได้ (แต่สำหรับหนูคิดว่า อย่างไรซะมันก็คือกระบวนการเรียนรู้ จะผิดจะถูกสามารถแนะนำกันดีๆได้ ไม่เห็นว่าจะต้องต่อว่ากันขนาดนี้) นอกจากนี้ พอหนูจะไป present งานให้ thesis
committee ฟังหนูต้องทำ presentation slide ไปให้แกดู พอมาถึง slide ของ preliminary experiment ข้างต้น แกถึงกับไม่ฟังแต่กลับถามถึงแต่งานอื่น หนูก็เลยตัดสไลด์ที่ว่าออกไป พอไป present จริง ระหว่างพรีเซนต์แกก็ทำเป็นถอนหายใจ กุมขมับ ทำเสียงปึงปังเป็นระยะ เหมือนจะแสดงความไม่พอใจในตัวหนูให้ committee ได้รู้ พอถึงช่วงถามคำถาม committee ก็ถามมาคำถามนึงซึ่งการจะตอบคำถามได้หนูต้องโยงถึง preliminary experiment นั้นที่หนูได้ทำไป committee ท่านก็ถามถึงรายละเอียดของการทดลองนั้น ระหว่างนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาหนูก็คอยโวยวายว่าจะทำทำไมไม่รู้ เอาลงเปเปอร์ก็ไม่ได้ แต่ท่าน committee กลับบอกว่า การทดลองนี้ก็สำคัญนะ ทำไมถึงไม่ใส่ใน presentation มา หนูก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะตอบยังไง
หลังจากนั้นมาแกก็ไม่ได้ลดละความแรงลง ทุกครั้งที่หนูเข้าไปหาแกที่ห้องทำงาน เอางานไปให้ หรือไปติดต่ออะไร แค่แกเห็นหน้าหนู หนูยังไม่ทันพูดอะไร แกก็จะถอนหายใจใส่ สบถบ้างอะไรบ้าง ก่อนหนูออกจากห้องก็ต้องหาอะไรมาต่อว่าสักอย่าง เวลามี lab meeting พอคนอื่นพูดก็ดูรับฟังดี แต่พอถึงตาหนูก็ไม่ค่อยจะรับฟัง พยายามหาที่ให้หนูผิดจนได้ ต้องมีการต่อว่าแบบสาดเสียเทเสีย ชักแม่น้ำทั้งห้าและเหตุการณ์ในอดีต ความผิดพลาดในอดีตมาพูดเหมือนเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง พูดเหมือนหนูไม่มีความดี เวลาคนอื่นทำผิดพลาดก็อดไม่ได้ที่จะโยงมาหาหนูว่าก่อนหน้านี้เธอก็เคยทำผิดพลาดเรื่องนี้ บางครั้งเวลาแลปมีปัญหา หนูก็หาเปเปอร์ไปเสนอแกว่าคนอื่นเค้าทำกันแบบนั้นแบบนี้ แกบอกโอเคงั้นลองทำแต่กลับ assign งานนั้นไปให้ผู้ช่วยวิจัย และต่อมาก็มาพูดเหมือนว่างานนั้นเป็นงานที่แกกับผู้ช่วยวิจัยทำกันสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกับหนูแต่อย่างใด เวลาหนูไปพรีเซนต์งานแกก็บอกหนูว่าให้พูดไปด้วยว่างานนั้นทำโดยผู้ช่วยวิจัย แกพยายามทำเหมือนหนูไม่ได้ทำอะไรไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับงานนั้น การกระทำของอาจารย์เหล่านี้ทำให้หนูแทบจะประสาทเสีย และปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้หนูสูญเสียความมั่นใจในตนเอง และ self esteem ไป และไม่มั่นใจว่าตนเองจะเดินทางสายนี้ต่อไปได้อีกหรือทำมันเป็นอาชีพได้อีก และมันยังทำให้หนูเริ่มหมดศรัทธาในตัวแกเพราะสิ่งที่แก่ทำเหมือนจงใจจะทำร้ายหนู หนูคิดว่าตนเองก็เป็นแค่เด็กนักเรียนคนนึง ไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ยิ่งจะให้เก่งเท่าอาจารย์หนูก็คงทำไม่ได้ หนูแค่อยากจะมาเรียนหนังสือ หนูจึงไม่เข้าใจว่าอาจารย์มาทำกับหนูขนาดนี้ทำไม สิ่งที่แกทำเหมือนไม่เห็นว่าหนูเป็นนักเรียนแล้ว เหมือนเห็นหนูเป็นศัตรูที่แกต้องทำลาย และเหมือนแกหลงลืมจรรยาบรรณ์ความเป็นอาจารย์ไปหมดสิ้น
แต่เรื่องที่สุดๆสำหรับหนูคือ มีเด็กนักเรียน ป.โท คนใหม่มาเข้าแลปค่ะ หนูขอบอก background คร่าวๆนะคะ เด็กคนนี้ฐานะที่บ้านน้องไม่ค่อยสู้ดี แม่เป็นแม่บ้าน พ่อขับแทกซี่ค่ะ พอน้องเข้ามาทำงานในแลปได้ซักพักมีอาการป่วย เหมือนต่อมน้ำเหลืองที่คอโตหลายจุด หนูจึงบอกน้องให้ไปหาหมอ ผลตรวจปรากฎว่าเธอติดเชื้อ HIV แต่สุดท้ายก็ทำความตกลงกันทุกฝ่ายทั้งอาจารย์และทุกคนในแลปว่าก็ให้น้องเรียนต่อไป อยู่ในแลปน้องคนนี้เป็นที่โปรดปรานของอาจารย์มากเพราะทำแลปเร็ว ได้ผลดีตลอด แลปแทบไม่เคยมีปัญหา แต่ละผลการทดลอง error bar เล็กมากสวยงาม พอคนอื่นๆที่ทำแลปลักษณะเดียวกันทำไม่ได้สวยเหมือนน้องเค้าทำก็จะถูกต่อว่า และให้ไปคุยกับน้องว่าเค้าทำยังไงถึงได้ดี แต่ถามทีไรก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากที่พวกเราทำเลย แถมพวกเรายังระมัดระวังมากกว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้หนูและพี่ผู้ช่วยวิจัยเริ่มสงสัยในตัวน้องคนนี้เพราะหนูกับพี่ผู้ช่วยวิจัยทำแลปลักษณะเดียวกับน้องแต่การจะได้ผลให้สวยงามแบบน้องเค้านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยแค่ three independent experiments นี่ อย่าหวังเลย พวกเราจึงมีความสงสัยในตัวน้องคนนี้และประกอบกับว่าอาจารย์เคยพูดเหมือนอยากเอา result ของน้องคนนี้มาใส่ในเปเปอร์หนู แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะ ซึ่งหากมีความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ทั้งหนูและพี่ผู้ช่วยวิจัยที่จะมีชื่อในเปเปอร์นี้ต้องเดือดร้อนแน่ พวกเราจึงตกลงกันไปบอกอาจารย์เพื่อนขอให้อาจารย์ช่วยพูดกับน้องว่าเราอยากขอดู raw data แต่อาจารย์ปฏิเสธ โดยพูดว่าถ้าพวกเธอสงสัยก็ไปถามเองสิมายืมมือชั้นให้ถามให้ได้อย่างไร เราสองคนจึงต้องจัดการเรื่องนี้เองค่ะ
สุดท้ายหนูมาเจอหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้เราเห็นว่าน้องมีการตัดต่อ ตัดแปะ band บน Thin layer chromatography plate ให้ได้รูปที่สวยงาม เราจึงไปบอกอาจารย์ถึงสิ่งที่เราพบ อาจารย์เหมือนไม่ปักใจเชื่อและให้เราไปถามความจริงจากเจ้าตัวเอง จากที่หนูกล่าวข้างต้นว่าอาจารย์เคยพูดเหมือนอยากเอา result ของน้องคนนี้มาใส่ในเปเปอร์หนู หลังจากพบหลักฐานว่าน้องมีการทำผิดจริยธรรมการวิจัยโดยการปลอมผลการทด ลอง หนูคิดว่าอาจารย์คงจะล้มเลิกความคิดนั้น แต่เปล่าเลย เช้าวันรุ่งขึ้น ประมาณหกโมงเช้า ย้ำค่ะ หกโมงเช้า อาจารย์ถึงกลับโทรมาหาหนูและพูดว่าเค้าได้ตัดสินใจแล้ว ว่าจะเอาผลของน้องคนนี้ลงเปเปอร์หนูและขู่ว่าหากหนูยังยืนยันที่จะพูดว่าน้องคนนี้ปลอมผลและไม่ต้องการให้เอาผลของน้องคนนี้ลงเปเปอร์ เปเปอร์ของหนูก็เจ๊ง (เค้าใช้คำว่าเจ๊งจริงๆค่ะ) และทิ้งท้ายว่า นี่พี่แค่โทรมาให้ข้อมูลเฉยๆพอตอนบ่ายวันนั้นพวกเราจึงไปสอบถามกับตัวน้องว่าน้องทำการตัดต่อจริงหรือเปล่าตอนแรกน้องปฏิเสธแต่ซักไปซักมาน้องก็ยอมรับว่าทำจริงเราจึงไปบอกเรื่องนี้กับอาจารย์ อาจารย์ก็ถามว่าน้องทำจริงหรือเปล่าน้องก็ยอมรับต่อหน้าอาจารย์ว่าทำจริง อาจารย์ก็เหมือนตักเตือนว่าที่เธอทำเนี่ยร้ายแรงนะ แต่ยังไม่วายยังมีการพูดปกป้อง พวกเราแทบจะหงายเงิบไปตรงนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวตัวเองเสียหน้าหรือเปล่า หลังจากนั้นพวกเราได้มีการขอ raw data จากน้องมาเพื่อตรวจสอบ เราพบการปลอมแปลงข้อมูลอย่างรุนแรง บางการทดลองน้องบอกว่าวัดค่าวันนั้นวันนี้ แต่พอไปดู raw data ที่ถูก save อัตโนมัติในเครื่องวัด กลับไม่มีข้อมูลตามวันเวลาที่น้องได้บอก สรุปคือ แทบจะทุกสิ่งคือปลอมหมด พวกเรารายงานสิ่งที่พบเจอให้อาจารย์ฟังตลอดหนูก็พยายามพูดว่าไม่เอาผลน้องคนนี้ใส่เปเปอร์ได้มั้ยเพราะมีพฤติกรรมทุจริตแบบนี้ แต่แกก็ยังยืนยันจะเอาผลของน้องคนนั้นลง อ้างว่าแกเช็คดีแล้วว่าเป็นความจริง (แต่อาจารย์ไม่เคยมาเช็ค raw data แบบที่พวกหนูทำ เช็คแต่ข้อมูลที่น้องส่งให้ซึ่งไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน) และพูดซ้ำคำเดิมว่า ถ้าไม่เอาผลน้องคนนั้นลงเปเปอร์เปเปอร์หนูก็เจ๊ง หรืออาจตีพิมพ์ได้แค่ journal ที่ impact factor ต่ำๆ และแกยังขู่ว่าเรื่องนี้ถ้าจะเอาให้ทุกอย่างตรงไปตรงมาจริงๆ เปเปอร์นี้เธอ (คือหนู) ก็ไม่ควรจะได้ชื่อแรกในเปเปอร์ เพราะแม้แต่ manuscript เธอยังไม่เขียนให้ชั้นเลย ซึ่ง ไม่เป็นความจริงเลยค่ะ หนูเขียน manuscript ให้แกไปแล้ว ยื่นให้จารย์ต่อหน้าทุกคนในแลปตอน lab meeting แต่จะดีพอหรือไม่ดีพอจะเรียก manuscript มันก็เรื่องของอาจารย์ แต่สิ่งที่แกให้หนูเขียน หนูเขียนแล้ว ไม่ใช่ครั้งเดียวที่แกพูดแบบนี้ แต่หลายครั้ง เหมือนต้องการสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อขู่หนูและให้ยอมจำนนเอาผลของน้องคนนั้นลงเปเปอร์ หนูเคยปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ที่แลปที่จบไปแล้วไปเรียนเอกอยู่ต่างประเทศ พี่เค้าเลยอีเมลล์ไปคุยกับอาจารย์ และตอนหลังหนูมาทราบว่า อาจารย์แกบอกพี่คนนั้นแบบเดียวกันว่าหนูไม่ได้เขียนแม้แต่ manuscri