3 เทคนิคเขียนโครงร่างงานวิจัยง่ายๆ

องค์ประกอบของโครงร่างการวิจัย โครงร่างการวิจัย ควรมีองคประกอบสำคัญดังนี้ :

1. ชื่อเรื่อง

2. ความสําคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย

3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย

4. คําถามของการวิจัย

5. ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

6. การทบทวนเอกสารที่เกี่ยวของ้

7. สมมติภาพและกรอบแนวคิด

8. ขอบเขตของการวิจัย

9. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย

10. นิยามศัพท์

11. ระเบียบวิธีดําเนินการวิจัย

12. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

13. ระยะเวลาทําการวิจัย

14. รายละเอียดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการวิจัย

15. บรรณนุกรม

16. ภาคผนวก

17. ประวัติของการดําเนินการวิจัย

*ไม่จําเป็นต้องมีทุกโครงการ

การเขียนโครงร่างงานวิจัย เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยมือใหม่จำเป็นที่จะต้องเขียน เพื่อนำเสนอ concept ของการทำการศึกษาวิจัย โดยเฉพาะการทำการศึกษาวิจัยที่มีรูปแบบของงานวิจัยที่เป็นเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพที่จะใช้ในการศึกษาวิจัย ทั้งนี้การที่จะเขียนโครงร่างงานวิจัยให้ง่าย วันนี้เรามี  3 เทคนิคเขียนโครงร่างงานวิจัยง่ายๆ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 

1. รู้จักรูปแบบของการทำวิจัย

รูปแบบของการวิจัยเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางในการที่จะทำการศึกษาวิจัยของผู้วิจัยหัวข้อวิจัยดังกล่าว โดยเฉพาะสิ่งที่นิยมในปัจจุบัน คือ รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณหรือรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพที่มักจะได้รับความนิยมในการที่จะเป็นรูปแบบหลักของการศึกษาวิจัย 

โดยเฉพาะรูปแบบงานวิจัยที่เป็นรูปแบบงานวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าการทำวิจัยเชิงปริมาณ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้โปรแกรมสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 

ซึ่งนำเสนอผลลัพธ์เป็นรูปแบบของกราฟตัวเลขหรือสถิติที่สามารถอ้างอิง หรือนำเสนอได้อย่างเข้าใจง่ายกว่านำเสนอเป็นรูปแบบงานวิจัยเชิงคุณภาพที่เป็นเนื้อหาทั้งหมดที่ขาดความน่าสนใจ 

อาจจะกล่าวได้ว่าการนำเสนอรูปแบบงานวิจัยเชิงปริมาณในปัจจุบัน สามารถทำให้เกิดการสื่อสารที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า จึงได้รับความนิยมในปัจจุบัน

ดังนั้นหากท่านต้องการเขียนโครงร่างงานวิจัย จำเป็นที่จะต้องนึกถึงรูปแบบของการวิจัย ว่า งานวิจัยของท่านนั้น ควรจะเป็นรูปแบบงานวิจัยเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ เพื่อให้เหมาะสมกับการเขียนโครงร่างและกำหนดขอบเขตที่เกี่ยวข้องในการเขียนโครงร่างอย่างเหมาะสมต่อไป

2. รู้จักแหล่งข้อมูลที่จะทำมาใช้ในการเขียนโครงร่าง

การรู้จักแหล่งข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการเขียนเค้าโครงร่าง เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยมือใหม่จำเป็นที่จะต้องกำหนดขอบเขตก่อนเลยว่าแหล่งข้อมูลที่จะใช้ในการวิจัยนั้นจะมาจากแหล่งข้อมูลใด เช่น ห้องสมุด หรือแหล่งข้อมูลฐานข้อมูลที่เป็นวิทยานิพนธ์วิจัยออนไลน์ที่มหาวิทยาลัย หรือสถาบัน หรือศูนย์การวิจัยต่างๆมีเผยแพร่ทางออนไลน์

ซึ่งถ้าหากท่านสามารถกำหนดขอบเขตได้แล้วว่าแหล่งข้อมูลใดเป็นแหล่งข้อมูลหลักในการที่จะศึกษาค้นคว้าในการที่จะใช้เขียนโครงร่างงานวิจัยได้แล้ว จะทำให้ท่านรู้ว่าควรจะโฟกัสเป็นที่แหล่งข้อมูลใด และใช้เทคนิคใดในการสืบค้นที่เหมาะสมกับการนำเนื้อหามาเขียนโครงร่างการวิจัยได้อย่างไร

โดยเฉพาะปัจจุบันนั้นมีการนิยมเป็นอย่างมาก ในการที่จะนำแหล่งข้อมูลออนไลน์มาใช้ในการสืบค้นข้อมูล เพื่อเขียนประกอบการเขียนโครงร่างงานวิจัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้สะดวก และประหยัดเวลามากกว่าที่จะต้องเข้าไปในห้องสมุด เพื่อนำข้อมูลมาใช้การเขียนโครงร่าง  

3. รู้จักประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

การเขียนโครงร่างงานวิจัยที่ดี จะต้องรู้ว่ากลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่างของการศึกษาครั้งนี้นั้น คือ ใครและอยู่ที่ไหน เพื่อที่จะกำหนดได้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มตัวอย่างนี้จะให้ความร่วมมือในการที่จะตอบแบบสอบถามของเราหรือไม่ 

เนื่องจากว่าปัจจุบันการเข้าถึงกลุ่มตัวอย่าง ล้วนแล้วแต่มีความลำบากในการที่จะขอความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม หรือตอบแบบสัมภาษณ์

ซึ่งถ้าท่านไม่สามารถทราบได้ว่ากลุ่มประชากร และกลุ่มตัวอย่างของท่านเป็นใคร ก็จะทำให้ท่านไม่รู้ว่าวิธีการที่จะเข้าถึงประชากร และกลุ่มตัวอย่างของท่านนั้นควรวิธีอย่างไร และจะไม่สามารถทราบกำหนดขอบเขตจำนวนที่แน่นอนได้ว่าควรจะข้อความร่วมมือในการเข้าถึงกลุ่มตัวอย่างของท่านได้อย่างไร

สำหรับเทคนิค 3 ขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้นนี้ เป็นสิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการเขียนโครงร่างงานวิจัยของท่านให้ดียิ่งขึ้นได้

Credit: https://bit.ly/3SFpemR

#เรียนวิจัย #รับติวสอบ #รับปรึกษางานวิจัย #ทำdissertation #ทำthesis #ทำวิทยานิพนธ์ #ทำวิทยานิพนธ์ปตรี #ทำวิทยานิพนธ์ปโท #ทำวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนโปรแกรมSPSS #รับทำงานวิจัย #ที่ปรึกษางานวิจัย #รับทำดุษฎีนิพนธ์ #รับติววิทยานิพนธ์ #รับติวธีสิส #รับติวสารนิพนธ์ #รับติววิจัย #รับติวงานวิจัย #รับสอนวิทยานิพนธ์ #รับสอนธีสิส #รับสอนสารนิพนธ์ #รับสอนวิจัย #รับสอนงานวิจัย #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ #รับปรึกษาธีสิส #รับปรึกษาสารนิพนธ์ #รับปรึกษาวิจัย #รับปรึกษางานวิจัย #รับติววิทยานิพนธ์ปตรี #รับติววิทยานิพนธ์ปโท #รับติววิทยานิพนธ์ปเอก #รับสอนวิทยานิพนธ์ปตรี #รับสอนวิทยานิพนธ์ปโท #รับสอนวิทยานิพนธ์ปเอก #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปตรี #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปโท #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนทำวิจัย ##รับสอนดุษฎีนิพนธ์ #รับติวดุษฎีนิพนธ์ #รับปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ #ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ปรึกษาวิจัย #ปรึกษางานวิจัย #ทำวิจัยปโท #phdthesis #หัวข้อวิทยานิพนธ์ #รับทำdissertation #บริษัทรับทำวิจัย #รับเขียนบทความวิชาการ #thesiswriter #spssราคา #ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ทำวิจัยพยาบาล #รับปรึกษาวิจัย #ราคารับทำงานวิจัย

Share:

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on pinterest
Pinterest
Share on linkedin
LinkedIn

ขอคำปรึกษา

Tag : การทำ is จ้างทำ is จ้างทำวิจัย จ้างทำวิทยานิพนธ์ จ้างทํางานวิจัย จ้างทําวิจัย ป.ตรี ราคา จ้างทําวิจัยราคา จ้างทําวิจัยราคาประหยัด จ้างทําวิจัย ราคาเท่าไหร่ จ้างทําวิทยานิพนธ์ จ้างทําวิทยานิพนธ์ราคา จ้างวิจัย ทําวิทยานิพนธ์ ทำงานวิจัย ทำงานวิทยานิพนธ์ บริการรับทำวิจัย รับจัดหน้าวิทยานิพนธ์ รับจ้างทำ is รับจ้างทํางานวิจัย ราคาถูก รับจ้างทํารายงาน รับจ้างทําวิทยานิพนธ์ รับจ้างทําวิทยานิพนธ์ ราคาถูก รับจ้างเขียนรายงาน รับทำ is รับทำ powerpoint รับทำ spss รับทำ thesis รับทำดุษฎีนิพนธ์ รับทำวิจัย รับทำวิจัยราคาถูก รับทำวิทยานิพนธ์ รับทำสารนิพนธ์ รับทำแบบสอบถาม รับทำโปรเจคจบ รับทํา thesis รับทํางานวิจัย รับทําปริญญานิพนธ์ รับทํารายงาน รับทําวิจัย ป.ตรี รับทําวิทยานิพนธ์ รับทําวิทยานิพนธ์ ป.โท รับทําวิทยานิพนธ์ ราคา รับทําวิทยานิพนธ์ราคาเท่าไหร่ รับทํา สารนิพนธ์ รับแปลงานวิจัย ราคารับทำวิทยานิพนธ์ วิจัย

Table of Contents

On Key

Related Posts

งานวิจัยเผย : คนที่ทำตัวแปลกๆ หาแฟนง่ายกว่าคนธรรมดา

งานวิจัยเผย : คนที่ทำตัวแปลกๆ หาแฟนง่ายกว่าคนธรรมดา

จากการศึกษางานวิจัยเผยว่า คนที่ทำตัวแปลกๆหรือทำตัวประหลาดแตกต่างจากคนปกติ หรือคนที่มีคาแร็คเตอร์แปลกประหลาดแบบธรรมชาติของเขาเอง สามารถสร้างแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้าม และทำให้มีโอกาสหาแฟนหรือคนรู้ใจได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ใครที่โสดมานานแล้วอยากสละโสด คงจะได้ฤกษ์สละโสดเร็วๆนี้แล้ว . ซึ่งผลวิจัยดังกล่าวข้างต้น อ้างอิงจากวารสารว่าด้วยบุคลิกภาพและจิตวิทยาสังคม (Personality and Social Psychology Bulletin) ของสหรัฐอเมริกา เป็นการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิง จากการเลือกเพศตรงข้ามที่สนใจผ่านเว็บไซต์หาคู่เดทออนไลน์ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงต่างถูกใจในผู้ที่มีความแปลกกว่าคนทั่วไป ทั้งในเรื่องสไตล์เสื้อผ้า การแต่งตัว รสนิยม และทัศนคติ . บางท่านอาจสงสัยว่า

งานวิจัยเผย : ฝนตกทำให้คนเหงา เป็นเรื่องจริงไม่ได้มโนไปเอง

งานวิจัยเผย : ฝนตกทำให้คนเหงา เป็นเรื่องจริงไม่ได้มโนไปเอง

จากการศึกษาเรื่อง ทำไมฝนตกแล้วต้องเหงา หรือผลกระทบจากสภาพอากาศต่อสภาพจิตใจในเชิงวิทยาศาสตร์และจิตวิทยานั้นพบว่า ในช่วงที่ฝนตก สภาพอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งความชื้นในอากาศที่เพิ่มขึ้น อุณหภูมิที่ลดต่ำลง และแสงสว่างที่ลดน้อยลง ซึ่งอธิบายให้เห็นภาพที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องของแสงสว่างที่ลดน้อยลงในวันที่ฝนตก เพราะร่างกายของมนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่า นาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) ที่คอยกำหนดการทำงานของสมองและร่างกายในแต่ละช่วงของวัน . ซึ่งแสงส่งผลได้อย่างชัดเจน สามารถนึกถึงอารมณ์เวลาที่ตื่นมาในวันที่มีแสงแดดแรง ท้องฟ้าสดใส และไม่ร้อนจนเกินไป กับวันที่ตื่นมาแล้วท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้ม อารมณ์ความรู้สึกในวันนั้นก็แตกต่างกันไม่น้อย ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล เพราะการได้รับแสงแดดที่ไม่เพียงพอหรือน้อยลงในตอนเช้าส่งผลต่อการทำงานของนาฬิกาชีวภาพ ต่อเนื่องไปยังสมอง ทำให้สมองผลิตเซโรโทนิน

งานวิจัยเผย : วัยรุ่นที่มีแฟนเป็นซึมเศร้ามากกว่าวัยรุ่นที่โสด

งานวิจัยเผย : วัยรุ่นที่มีแฟนเป็นซึมเศร้ามากกว่าวัยรุ่นที่โสด

วัยรุ่นวัยใสที่ยังไม่มีแฟนหรือแทบจะไม่ได้ไปออกเดทกับใครเขา มักถูกมองว่าขาดเสน่ห์หรือเข้าสังคมได้ไม่ดีนัก แต่ในขณะที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมวัยรุ่นในสหรัฐฯ เชื่อกันมานานว่า วัยรุ่นที่มีคู่คบหาดูใจจะมีโอกาสพัฒนาทักษะทางสังคมและวุฒิภาวะทางอารมณ์ได้ดีกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แต่แล้วความเชื่อนี้กำลังจะเปลี่ยนไป . เนื่องจากทีมนักวิจัยด้านสาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยจอร์เจียของสหรัฐฯ ได้มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาล่าสุดลงในวารสาร “สุขภาพในโรงเรียน” (Journal of School Health) โดยระบุว่า ผลการติดตามเก็บข้อมูลระยะยาวเป็นเวลา 7 ปีกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียน ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ชี้ว่าวัยรุ่นที่ไม่ได้คบหาเป็นแฟนกับใครและไม่ค่อยได้ออกเดทนั้น ไม่ได้มีพัฒนาการทางจิตวิทยาตามวัยด้อยไปกว่าเพื่อนที่มีแฟน หนำซ้ำยังมีทักษะทางสังคมที่ดีกว่า และมีภาวะซึมเศร้าน้อยกว่าด้วย

รู้หรือไม่ ผู้บริโภค 85% เชื่อถือโฆษณาในรูปแบบสปอนเซอร์ทีม-การแข่งขัน

รู้หรือไม่ ผู้บริโภค 85% เชื่อถือโฆษณาในรูปแบบสปอนเซอร์ทีม-การแข่งขัน

รู้หรือไม่ ผู้บริโภค 85% เชื่อถือโฆษณาในรูปแบบสปอนเซอร์ทีม-การแข่งขัน . เนื่องจากการสำรวจพฤติกรรมการรับสื่อและทัศนคติต่อการรับชมโฆษณา-แคมเปญการตลาดของผู้บริโภคชาวไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทางบริษัท นีลเส็น มีเดีย ประเทศไทย หนึ่งในบริษัทวิจัยสื่อ-การตลาดรายใหญ่ สามารถประมวลเป็นเทรนด์สำคัญที่จะส่งผลกับการสื่อสารและทำการตลาดของภาคธุรกิจในปี 2566 นี้ . พบว่า ผู้บริโภค 85% เชื่อถือโฆษณาในรูปแบบสปอนเซอร์ทีม-การแข่งขัน และ 61% เลือกซื้อสินค้าที่เป็นสปอนเซอร์การแข่งขัน รวมถึง