<strong>พีระมิดแห่งการเรียนรู้</strong><strong> </strong><strong>เรียนแบบไหนดีที่สุดสำหรับคุณ</strong>

พีระมิดแห่งการเรียนรู้ หรือ Learning Pyramid เริ่มต้นศึกษาและพัฒนาโดยNational Training Laboratories ตั้งแต่ช่วงปี 1960s เป็นเหมือนแนวคิดที่ทำให้เราเห็นภาพว่า ‘กิจกรรมแบบไหน’ ทำให้เราสามารถเรียนรู้ ซึมซับ และจดจำข้อมูลได้ดีที่สุด ถ้ารู้เรื่อง Learning Style ของแต่ละคน จะช่วยให้เข้าใจเรื่องนี้ได้ดียิ่งขึ้น เพราะนอกจากพีระมิดนี้แล้ว ความถนัดของแต่ละคนก็ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน 1. Visual เรียนรู้ผ่านการมอง 2. Auditory เรียนรู้ผ่านการฟัง 3. Read/Write เรียนรู้ผ่านการเขียน-อ่าน 4. Kinesthetic เรียนรู้ผ่านการลองทำ เอาล่ะ เรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า จากแนวคิด Learning Pyramid พฤติกรรมแบบไหนที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ได้ดีที่สุด การเรียนในห้อง (Lecture) <10% การเรียนรู้ที่เราทำกันเป็นประจำคือการเรียนในห้อง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมที่เราได้เรียนรู้น้อยที่สุด การนั่งฟังอาจารย์สอนอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพเสมอไป ซึ่งเราก็น่าพอมีประสบการณ์ในส่วนนี้กันดี แต่ถ้าอยากให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้เรียนควรเตรียมตัวมาอย่างดี ควรมีการถกเถียงในห้องและมีการจดข้อมูลที่เป็นระบบ การอ่าน (Read) 10% การอ่านเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ แต่ดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมที่ไม่ค่อยให้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะว่าคนไม่ค่อยชอบการอ่านหนังสือเชิงวิชาการกันอยู่แล้ว (ยกเว้นคนที่เป็น Visual Learner การอ่านจะมีประสิทธิภาพมากกว่าคนในกลุ่มอื่น) การได้ฟังและได้เห็น (Audio/Visual) 20% ไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ เสียง หรือแผนภูมิ นับว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่ประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนกันมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการเรียนรู้เพียงแค่ 20% แต่ในอนาคตการเรียนรู้แบบนี้น่าจะเติบโตอีกมากตามเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามากขึ้น ที่สำคัญ สื่อเหล่านี้ยังช่วยให้เราเข้าใจในเนื้อหาที่มีความซับซ้อนหรือยากได้ดีขึ้นเช่น สารคดีที่หยิบยกการนำเสนอแบบภาพมาใช้ ด้วยการผนวกภาพจริง กราฟิกและโมชั่นเข้าด้วยกัน อย่าง Vox (https://bit.ly/2Dhu1ZY) หรือซีรีส์ Explained (https://bit.ly/2QF8Eok) การสาธิต (Demonstration) 30% ถ้าเราได้เห็นตัวอย่างจริง จะทำให้การเรียนรู้ของเราได้ผลมากขึ้น อาทิ การดูสาธิตวิธีสำรวจในพื้นที่การทำงานจริง การสาธิตอาจเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในกรณีที่เป็นเรื่องการลงมือทำ ถกเถียง–หารือ (Discussion) 50% การได้ออกความคิดเห็น ได้ถกเถียงในองค์ความรู้ กิจกรรมนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมได้มีส่วนร่วม ได้ใช้ความคิด ได้มีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แน่นอนว่ามันทำให้คุณได้เรียนรู้มากขึ้นอีกด้วย ลงมือปฎิบัติ (Practice) 75% การได้ลงมือทำนับว่าเป็นการเรียนรู้ยอดนิยม และหลายฝ่ายก็เชื่อว่าเราจะจดจำข้อมูลต่างๆ ได้ดี เพราะเราจะได้เจอปัญหาจริง ได้ลองทำจริง ได้แก้ไขสถานการณ์ผ่านของจริง ที่สำคัญการได้ลงมือทำ จะทำให้ข้อมูลและความรู้เหล่านั้นถูกย้ายไปไว้ในส่วนของความจำในระยะยาว ซึ่งช่วยให้เราได้เรียนรู้เชิงลึกและจดจำได้ดีขึ้นนั่นเอง สอน (Teach) 90% การสอนนับว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด แต่หลายคนอาจจะมองข้ามเรื่องนี้ไป ถ้าสังเกตให้ดี เวลาเราจะสอนเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ เราต้องมีความเข้าใจเรื่องนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง หาคำอธิบายที่ง่าย ยิ่งคุณสอนมากขึ้น คุณจะยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้นนั่นเองเราจะเห็นเลยว่าในส่วนแรก (การเรียนในห้อง การอ่าน การได้ฟังและได้เห็น การนำเสนอ) เป็นการเรียนรู้ในเชิงรับ (Passive) ซึ่งจะเป็นกิจกรรมที่เราไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรสักเท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นการรับรู้จากคนอื่นแล้วค่อยเปลี่ยนแปลงมาเป็นความรู้ในแบบของเราสำหรับในส่วนที่สอง (การนำเสนอ ถกเถียง-หารือ ลงมือปฎิบัติ สอน) เป็นการเรียนรู้ในเชิงรุก (Active) ที่ต้องผ่านกระบวนการเข้าใจ ก่อนที่จะสะท้อนออกไปสู่ผู้อื่น ซึ่งเราจะเห็นเลยว่าในส่วนที่สองเป็นกิจกรรมทางการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพกว่านั่นเองการเรียนรู้ที่ดี อาจไม่ได้เป็นเพียงแค่การเรียนในห้องหรือการอ่านหนังสือก็ได้ ถ้าเราเรียนรู้เรื่องอะไรมา ก็อย่าลืมแจกจ่ายออกไป เพื่อที่เราจะได้เข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจนขึ้นด้วย
<strong>เริ่มต้นการวางโครงร่างวิจัย</strong>

1. กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน เพื่อที่เราจะกำหนดโครงร่างให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการศึกษาในเอกสารค่ะ รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้วยว่าเราจะเขียนเรื่องอะไรบ้างจะได้แตกย่อยหัวเรื่องได้ถูก เพื่อเขียนให้ตรงกลุ่มผู้อ่าน ผู้อ่านจะได้อะไรจากการอ่าน สิ่งเหล่านี้ต้องนำมากำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนนะคะ Tip เรื่องของการเขียนประเด็นย่อ เป็น Keyword ที่เราอยากทำ และดูความเป็นไปได้ด้วยว่า สามารถทำได้ง่ายหรือไม่ ใช้เวลา ใช้ทุนทรัพย์ มากน้อยขนาดไหน กรณีเป็น dissertation ก็เขียนไปเยอะๆแล้วปรึกษาอาจารย์เลยค่ะ 2. เขียนรายงานฉบับร่าง (First Draft) โดยกำหนดเป็นย่อหน้าที่แต่ละย่อหน้าจะเริ่มด้วยประโยคสำคัญแล้วตามด้วยคำอธิบายค่ะ ตัวอย่าง ข้อความขยายและจบด้วยประโยคสรุป หรือประโยคที่เชื่อมโยงกับเนื้อหาในย่อหน้าต่อไป โดยใช้ภาษาที่ง่าย ๆ ชัดเจน ไม่ใช้ศัพท์วิชาการที่เกินความจำเป็น และควรมีการสรุปประเด็นที่สำคัญในหัวข้อแต่ละหัวข้อ Tip แตกแยกร่าง ย่อยเรื่องราวนั้นออกมา เช่น รูปแบบงานวิจัย เชิงปริมาณคุณภาพ จำนวนประชากร รูปแบบการเก็บข้อมูล ระยะเวลาในการดำเนินงานวัตถุประสงค์ ทฤษฏีต่างๆที่จะมารองรับหรือใช้ในงานวิจัย พยายามเลือกหัวข้อที่สอดคล้องกับเรื่องที่เรียนนะคะ จะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สอดคล้องกับทุนหรือในระดับที่เรียนประเด็นปัญหาทันยุคทันสมัยค่ะ 3. ชื่อเรื่อง ตั้งชื่อเรื่องได้อ่านง่าย เห็นภาพชัดเจนไม่สั้นไม่ยาวเกินไปอ่านเข้าใจได้ว่า ต้องการศึกษาอะไร กลุ่มตัวอย่าง หรือกรณีศึกษาคือใคร ที่ไหน แบบไหน และก็อ่านแล้วสามารถเดาทางได้ว่าวัตถุประสงค์คืออะไร เช่นประสิทธิผลของการออกกำลังกายกับการลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานชุมชนส่วนใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พ.ศ.2562 กรณีที่ชื่อยาวมาก ให้แบ่งเป็นสองตอนค่ะ ใช้ตอนแรกบอกความสำคัญ ตอนสองเป็นเพียงส่วนประกอบ เช่นระดับน้ำตาลในเลือดและการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน:การเปรียบเทียบระหว่างชุมชนสวนใหญ่กับชุมชนบางกร่างในจังหวัดนนทบุรี 2562 ข้อควรระวังในการตั้งชื่องานวิจัย • ไม่ชัดเจน คลุมเครือ • ยาวเกินไป • ไม่สอดคล้องกับประเด็นสำคัญที่ต้องการศึกษา 4.บทนำ/ที่มาและความสำคัญของปัญหา ควรเขียนอธิบายกล่าวถึงปัญหา ควรเขียนสัก 2-3 หน้าสำหรับ research proposal นี่กำลังดีเลยดีค่ะ Tip ให้เขียนแบบสามเหลี่ยมควำนะคะ คือจากกว้างไปแคบ เช่น ประเทศ-ภาค-จังหวัด เป็นต้นค่ะ ซึ่งในความเป็นจริงสามารถเขียนได้หลายรูปแบบ แล้วแต่การนำเสนอเลยค่ะ ✔ บุคคล ✔ สถาบัน/องค์กร ✔ พื้นที่เฉพาะ (เมือง ชนบท ✔ ภูมิภาค ✔ ประเทศ ✔ ต่างประเทศ/นานาประเทศ หัวใจของการเล่าเรื่องให้น่าติดตาม หรือมีความสนใจนั้น ต้องทำให้รู้สึกร่วมเสมือนว่าฟังเพลงอินโทร แล้วอยากฟังเพลงนี้ให้จบ บทนำก็เช่นกันค่ะ อย่าลืมว่า คุณมีโอกาสแค่กระดาษไม่กี่แผ่นในการเย็บส่งกรรมการแค่นั้น ฉะนั้นโชว์สกิลให้ความรู้ความสามารถ ทั้งในศาสตร์ที่คุณทำและทักษะการทำวิจัย งัดออกมาให้หมดเลยค่ะเขียนให้กรรมการรู้สึกว่า เรื่องราวนี้ “สำคัญ” ตระหนักรู้สนใจ ด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ Tip ดูจากชื่อเรื่องหลักและมาแตกแยกประเด็นย่อย จากนั้นเอาความคิดย่อยมาขยายออก โดยที่เราคิดอะไรก็ได้ แตกประเด็นความคิดไว้ก่อน ใช้ Mind map ช่วยจัดระบบความคิดดูก็ได้ค่ะ จากนั้นค่อยมาต่อจิ๊กซอว์ ลองจัดระบบความคิดเรียบเรียงประเด็นต่างๆ จากกว้างไปแคบ เพื่อเข้าสู่ประเด็นปัญหา อันไหนที่เราดูแล้วที่แทรกไม่ได้ก็ทิ้งไป ความคิดไหนที่ดูแล้วโอเค ก็รวมแยกไว้อีกย่อหน้าหนึ่งแล้วค่อยมารวมกันก็ได้ค่ะ 5. ปรับปรุงรายงานฉบับร่าง โดยการอ่านทบทวนหลาย ๆ ครั้ง และอาจมีเอกสารและงานวิจัยเพิ่มเติมควรจะนำมาสอดแทรก และปรับปรุงได้ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินการวิจัย เพราะการทำวิจัยไม่ใช่การยกเมฆ หรือคิดทึกทักไปเอง จำเป็นต้องมีการอ้างอิง แทรกในเนื้อหาด้วยว่าแนวความคิดนี้มีอยู่จริง ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่แล้ว เช่น มลพิษในอากาศสูง เศรษฐกิจไม่ดี เป็นต้นและควรเป็นหนังสือ วารสาร สื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่ใช่ออนไลน์ก็จะยิ่งดูน่าเชื่อถือค่ะ จากนั้นก็เอาเนื้อหาย่อยๆ มาปะติดปะต่อ ใส่คำเชื่อมร้อยเรียบเรียงเรื่องราวให้สละสลวยค่ะ อย่าลืมที่จะใส่ ส่วนของคำนำเนื้อเรื่อง สรุปด้วยนะคะ รวมถึงไอเดียที่ทำให้คนอ่านเข้าใจง่าย 6. แล้วทำการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น โดยไม่ต้องเสียดายของเดิม เพราะถ้าดีเค้าก็ให้ผ่านแล้วค่ะหลังจากนั้นให้ลงมือเขียน แล้วก็อ่าน และแก้ไข แล้วเขียนแล้วแก้ไข ทำสักสองสามรอบจากนั้นเราจะรู้ว่าเขียนดีเป็นอย่างไรข้อต่อมาที่สำคัญ คือ 3 อย่า 1 อย่าลืมตรวจคำผิด 2 อย่าลืมเว้นวรรค […]
เมื่อไหร่ที่คุณควรเรียนปริญญาโท MBA

การเรียนปริญญาโท คือประสบการณ์ที่เซลล์ร้อยล้านเองก็ได้ลิ้มรสอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก่อนหน้านี้ผมพูดตรงๆ เลยว่าไม่เคยมีความคิดที่จะเรียนปริญญาโทเลยแม้แต่น้อยครับ เพราะผมเคยคิดไปเองว่าการเรียนปริญญาโทนั้นมันเป็นเรื่องที่เสียเวลา เรียนไว้เพื่ออัพเงินเดือน หรือเรียนไปงั้นๆ แต่บางคนได้เงินเดือนน้อยกว่าเด็กวุฒิปริญญาตรีด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าไม่ใช่หนทางแห่งความร่ำรวยตามชีวิตเศรษฐที่เคยอ่านหนังสือมาเลยแม้แต่น้อย (สารภาพเลยครับ) ใช่ครับ มันคือความจริงที่คุณจะรวยนั้นมันไม่ได้ยากเกินความสามารถของคุณหลายๆ คนเป็นพ่อค้าแม่ค้าเปิดท้ายขายของมาก่อนแล้วสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเศรษฐีได้ มีบทเรียนชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จมากมายให้คุณได้ศึกษาที่สำคัญคือแต่ละคนไม่ได้เรียนปริญญาโทหรือจบสูงมาด้วยซ้ำ แต่พอผมได้คลุกอยู่กับวงการสตาร์ทอัพและธุรกิจระดับสูงแบบองค์กร (B2B) สิ่งนี้และครับที่เปรียบได้กับการไขว่คว้าโอกาสแบบที่ผมถนัดมากกว่า คำว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” นั้นมีอยู่จริง ธุรกิจที่เป็นรูปแบบบริษัทจะมีความต่างกับธุรกิจที่รวยแบบSME อย่างเห็นได้ชัด มันจะมีเรื่ององค์กร ภาพลักษณ์ ตำแหน่ง หน้าตาทางสังคมฯลฯ เข้ามา หลักสูตรปริญญาโท โดยเฉพาะปริญญาบริหารธุรกิจ มหาบัณฑิต (MBA:Master of Busines Administrator) เป็นหลักสูตรปริญญาโทที่เรียนเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ จึงมีบทบาทสำคัญในโลกของธุรกิจ และมีนักธุรกิจมากมายที่ต้องมีวุฒิปริญญาโทหลักสูตรนี้ ผมจึงขอแชร์เหตุผลว่าเมื่อไหร่คุณถึงจะพร้อมเรียน MBA กันเลยครับ 1. เมื่อคุณมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีพอ อย่าริจะเรียน MBA เพื่อเอาไว้หวังน้ำบ่อหน้าว่าเรียนจบแล้วจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นทะลุแสนหรือได้เป็นหัวหน้างานทันทีหลังเรียนจบ แต่ประสบการณ์การทำงานต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เว้นเสียแต่คุณจะเป็นลูก CEO หรือผู้สอบทอดกิจการพันล้าน ถ้าคุณยังเป็นแค่พนักงานระดับล่างและยังไม่ได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นระดับผู้จัดการ (Manager) ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นหรือระดับกลางขึ้นไป คุณไม่จำเป็นต้องเรียนเลยครับเพราะการเรียนปริญญาโทจะบั่นทอนเวลาทำงานของคุณมากๆ ต่อให้เรียนภาคค่ำ เสาร์–อาทิตย์ก็เหอะ สู้เอาเวลาไปก้มหน้าก้มตาหาเงินและทำงานประจำจนได้เลื่อนขั้นในบริษัทชั้นนำจะดีกว่าครับ เพราะต่อให้คุณเรียนจบMBA อายุน้อยก็จริง แต่ตำแหน่งงานยังไปไม่ถึงไหน ภาษีของคุณย่อมน้อยกว่าคนที่ทำงานเก่งและมีประสบการณ์ที่ดี เผลอๆ เป็นลูกน้องเด็ก ป.ตรี ก็เพราะเหตุนี้นั่นเองครับ ที่สำคัญคือ MBA ที่เรียนแล้วได้ใช้แน่นอน คุณจะต้องทำงานอยู่ในฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือผลกำไรของบริษัท เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี ฝ่ายการเงิน เป็นต้น ซึ่งตำแหน่งงานเหล่านี้ล้วนต้องการคนที่มีทักษะการจัดการที่ผ่านการพิสูจน์จากหลักสูตร MBA ทั้งนั้นครับ 2. เมื่อคุณมีเงินมากพอ การเข้าสู่โลกแห่งการทำงานเต็มตัวคงไม่ทำให้คุณต้องลำบากขอเงินพ่อแม่อีกต่อไป การเรียน MBA ถือว่าเป็นการลงทุนกับตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งคุณภาพจะดีหรือไม่ดีก็ต้องขึ้นอยู่กับสถาบันและ “ค่าเทอมที่คุณจ่าย” (ฮา) ก็แน่ล่ะครับว่าหลักสูตรMBA ไม่มีรัฐบาลช่วยอุ้มเหมือนป.ตรี แน่นอน เงินในกระเป๋าจะเป็นตัวบ่งบอกถึงการซื้อโอกาสและคอนเนคชั่น รวมไปถึงวุฒิอันทรงเกียรติที่จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิต ถ้าคุณเรียนพอใช้ได้ ไม่ได้โง่ จงเก็บเงินให้มากพอเพื่อซื้อโอกาสในการเรียนกับสถาบันที่มีชื่อเสียง ส่วนสถาบันโนเนมนั้น เซลล์ร้อยล้านไม่แนะนำเด็ดขาด แต่ถ้าพ่อแม่คุณมีเงินและพร้อมที่จะช่วยคุณก็ลุยได้เลยนะครับ ไม่ผิดที่จะใช้เงินพ่อแม่อีกเหมือนกัน 3. เมื่อคุณต้องการเป็นผู้บริหารระดับสูง (C-Level) ในบริษัทชื่อดัง ตำแหน่งงานในฝันของชาวมนุษย์เงินเดือนแทบทุกคนก็คือผู้จัดการ ผู้บริหารระดับสูง (C-Level) ไปจนถึง General Manager, Managing Director, CEO, President เป็นต้นในบริษัทที่มีชื่อเสียง ถือว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิตของใครหลายๆคน เพราะนอกจากจะมี “หัวโขน” ที่ทำให้คุณภูมิใจได้เต็มอก คุณยังจะได้เงินเดือนระดับหลายแสนไปจนถึงหลักล้าน รวมไปถึงสวัสดิการที่ดีเลิศ มีลูกน้องให้คุมเป็นสิบเป็นร้อยเป็นพัน มีเงินเข้ากระเป๋าทุกเดือนพร้อมกับหุ้นในบางบริษัท งานในตำแหน่งนี้หลายๆ คนรวยกว่าทำธุรกิจส่วนตัวเยอะมาก ตำแหน่งนี้จึงไม่มีการคัดคนแบบซี้ซั้วแน่นอน ซึ่งถ้าคุณจะก้าวขึ้นสู้ตำแหน่งระดับผู้บริหาร (Executive) โดยเฉพาะในบริษัทชื่อดัง ขอบอกเลยว่าแต่เสือ สิงห์ กระทิงแรดทั้งนั้น คนที่ถูกคัดเลือกมาจะมีความเก่งเหนือมนุษย์เช่นเดียวกับคุณในกรณีที่คุณเป็นตัวเลือก (Candidate) สำหรับระดับผู้บริหาร แต่ถ้าคุณไม่มีวุฒิ MBA ของสถาบันชื่อดัง คุณจะมีโอกาสน้อยมากๆ ที่จะได้ขึ้นสู่ระดับ C-Level ครับ ยิ่งบริษัทมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่าไหร่ วุฒิของคนระดับนั้นย่อมเทพขึ้นเท่านั้น จบยูดังแถมยังเป็นเมืองนอกอีกด้วย ลำพังถ้าคุณไม่ได้จบศศินทร์หรือสถาบันที่เทียบเคียงได้ ชาตินี้ไม่มีทางสู้เด็กจบนอกยูดังได้แน่นอน โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ยิ่งสูงยิ่งหนาวมีจริง 4. เมื่อคุณต้องการซูเปอร์คอนเนคชั่น คำว่าคอนเนคชั่นคงเป็นคำที่คุณได้ยินจนเบื่อ แต่มันก็คือเรื่องจริงที่หลักสูตรMBA จะมีคนที่คิดดี ใฝ่ดี ต้องการประสบความสำเร็จและต้องการก้าวหน้าเหมือนกับคุณ การได้เรียนกับบุคคลระดับสุดยอดจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายในการก้าวไปเป็นผู้ประกอบการในอนาคต เผลอๆ ไม่ต้องใช้เงินซักบาทถ้าคุณมีดีพอถ้าคุณเก่งหรือมีความสามารถ เช่น การขาย การตลาด หรือการเงิน เพื่อนร่วมรุ่นคุณนี่แหละที่จะชวนคุณทำธุรกิจ มีหลายโมเดลธุรกิจตอนนี้ที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ป.โท ที่รวมตัวกันทำธุรกิจแบบคนเรียนหนังสือ ความเสี่ยงจึงมีน้อยกว่าพร้อมกับความรู้ที่มีมากกว่าจึงทำให้ธุรกิจของคุณก้าวหน้าได้เร็ว แต่ถ้าเป็นคนนิสัยไม่ดี ไม่สนใจโลก รักสันโดษ ไม่เอาสังคม ก็ต้องขอบอกว่าเลิกเฮอะ อย่าเรียนเลย เสียเวลาเปล่าๆ ครับ คอนเนคชั่นซื้อได้ด้วยเงิน บางคนได้แฟนดีๆ แถมยังมีสมองกับสิ่งที่คิดคล้ายๆ กับคุณด้วยนะเออ (ฮา) 5. เมื่อคุณอยากรวยขึ้น ถ้าเรียนแล้วไม่คิดว่าจะรวยขึ้นก็อย่าเรียนมันเลยครับ หลักสูตร MBA คือหลักสูตรที่สอนคุณคิดเรื่องการบริหารภายในองค์กร ถ้าคุณทำงานตรงสายและมีวุฒินี้อยู่กับมือเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นกับโอกาสในการทำธุรกิจร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นหรือรุ่นพี่ย่อมทำให้ประตูสู่ความมั่งคั่งนั้นเปิดกว้างกว่าการอยู่แต่ในกะลาแล้วไม่ออกไปดูโลกว่าหมุนไปถึงไหนแล้วจงคิดเสมอว่าถ้าเลือกมาเรียนปริญญาโทก็ต้องได้อะไรกลับไปอย่างน้อยต้องมีฐานะที่รวยขึ้นในอนาคตอันใกล้แต่ถ้าเรียนไปเพื่อฆ่าเวลาขอบอกเลยว่าคุณไม่มีทางเอาวุฒิป.โท มาทำให้คุณรวยขึ้นแน่นอน นี่คือเหตุผลที่ผมอยากให้คุณลองลงทุนกับตัวเองเพื่อสร้างความมั่งคั่งในอนาคตนะครับ Credit: https://bit.ly/3RwCA3i
<strong>สาเหตุอาการง่วงตอนบ่ายและวิธีการรับมือปัญหา</strong>

เคยไหมครับ? เข้าสู่ช่วงบ่ายทีไรรู้สึกง่วงทุกทีเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน หรือใครก็ตาม ผมมั่นใจว่าคุณน่าจะเคยประสบกับปัญหาเดียวกันกับผม นั่นก็คือ รู้สึกง่วงนอนน ในตอนบ่ายหลังทานอาหารกลางวัน ซึ่งผมมั่นใจว่าปัญหานี้น่าจะส่งผลกระทบทำให้คุณต้องเสียสมาธิในการเรียน หรือรบกวนสมาธิในการทำงานของคุณแน่นอน ปัญหานี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา วันนี้เราจะมาไขข้อสังสัยกันว่า สาเหตุอาการง่วงตอนบ่าย และวิธีการรับมือปัญหาอาการง่วงที่ไม่พึ่งประสงค์คืออะไร มาไขข้อสงสัยไปพร้อมๆกันน สาเหตุอาการง่วงนอนตอนบ่าย กินเยอะ หากคุณกินอาหารเยอะเกินไป ร่างกายก็จะโฟกัสในการย่อย ก็จะดึงเลือดเราไปโฟกัสที่บริเวณหน้าท้อง ทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลียรู้สึกตาตกง่ายขึ้น และยิ่งคุณกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตชนิดย่อยเร็วเยอะ เช่น ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง น้ำหวาน ก็จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลียครับ ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย การนั่งทำงานอยู่กับที่นานๆ ไม่ได้ลุกเดิน ขยับเคลื่อนไหวร่างกายก็จะทำให้รู้สึกง่วงได้ รวมถึงการจดจ่ออยู่กับอะไรนานๆ ก็จะทำให้เพลียและอ่อนล้า ยิ่งผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลายิ่งทำให้รู้สึกล้าสายตาและต้องการการพักผ่อนระหว่างวันมากยิ่งขึ้น มีปัญหาด้านสุขภาพ การมีปัญหาด้านสุขภาพหรือมีโรคประจำตัวก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รู้สึกง่วงนอนตอนบ่ายเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย และเหนื่อยล้าได้ง่ายกว่าปกติ นอนกรน อีกหนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับคนที่ง่วงนอนตอนบ่ายก็คือการนอนกรนและสะดุ้งเฮือกตื่นระหว่างคืนวนเป็นวงจรอยู่อย่างนี้ตลอดคืน ซึ่งการนอนกรนก็มีทั้งแบบปกติและแบบรุนแรง ซึ่งมีผลเสียแตกต่างกันออกไป วิธีการรับมือและแก้ไขปัญหาง่วงนอนตอนบ่าย แบ่งย่อยมื้ออาหารและดื่มน้ำมากๆ การทานอาหารบ่อยๆ ในปริมาณที่ไม่มากกำลังพอเหมาะ จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานไปได้ตลอดทั้งวันโดยไม่อ่อนเพลีย ลองเปลี่ยนมาย่อยมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อใหญ่ เป็นวันละ 5-6 มื้อย่อย รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายก็เป็นวิธีที่ช่วยได้ไม่น้อย ขยับบ้าง ออกกำลังกายบ้าง การที่เราได้ขยับ […]
<strong>คิดไอเดีย เจอโจทย์ยากแค่ไหนก็เอาอยู่ กับ เทคนิค Brainstorming !</strong>

ทันทีที่โลกออนไลน์เข้ามามีบทบาทกับรูปแบบการทำงานตลอดจนการใช้ชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ทุกอย่างรอบตัวก็เหมือนจะเดินหน้าเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แน่นอนว่าส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นตามไปด้วย การเข้าถึงข้อมูลที่สะดวกขึ้นทำให้ความเลื่อมล้ำด้านข้อมูลในตัวบุคคลหรือองค์กรไม่มีเหมือนในสมัยก่อน ยุคแห่งการแข่งขันด้วยข้อมูลจึงหมดไปและกลายเป็นการวัดฝีมือกันที่ความคิดสร้างสรรค์แทน ที่เห็นชัดๆ ก็คือกลุ่มเจ้าของธุรกิจที่ต้องสรรหาไอเดียใหม่ๆ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายแบบที่สามารถดึงดูดใจได้ในทันที และกลุ่มของพนักงานออฟฟิศที่ต้องแก้โจทย์ของงานที่ซับซ้อนมากขึ้นของบริษัท วิธีการค้นหาไอเดียเด็ดๆ ที่ใช้ได้ดีและมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่งก็คือ การระดมสมอง หรือ Brainstorming นั่นเองค่ะ Brainstorming หรือ การผลิตความคิดเพื่อแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือการช่วยกันคิดหาทางออกหรือแก้ปัญหานั่นเอง แต่จะไม่เหมือนการนั่งรวมกลุ่มทั่วๆไปที่ต่างคนก็ต่างแสดงความคิดเห็นกันไปเรื่อยเปื่อย การ Brainstorming แบบที่สร้างสรรค์ผลงานได้จริงจึงต้องยึดหลักสำคัญ 2 ข้อ นั่นคือ เน้นปริมาณ และ ไม่ด่วนตัดสิน เหตุผลก็คือยิ่งเรามีปริมาณของไอเดียมากเท่าไรก็ยิ่งมองเห็นโอกาสในการแก้ปัญหาได้หลากหลายมากขึ้นเท่านั้น และการวิจารณ์หรือตัดสินว่าถูกหรือผิดในทันทีจะเป็นการปิดกั้นความเป็นอิสระทางความคิดทำให้การคิดนอกกรอบหยุดชะงักไป ขั้นตอนในการระดมสมองมีดังนี้ 1. ตีกรอบหรือกำหนดขอบเขตของปัญหาก่อนเสมอ เพื่อให้การระดมสมองไม่ฟุ้งจนออกนอกเรื่องไกลเกินไปจนใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย และชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจถึงเป้าหมายสุดท้ายของการแก้ปัญหาครั้งนี้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ 2. เริ่มระดมสมองอย่างเต็มที่ โดยขั้นตอนนี้ควรกำหนดเวลาเอาไว้ด้วยเพื่อไม่ให้เกิดความยืดเยื้อ เช่น 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ทุกคนสามารถเสนอไอเดียได้อย่างอิสระเสรีอย่างน้อยคนละ 1 ไอเดีย โดยเขียนไอเดียลงในกระดาษโน้ตแบบมีกาวในตัวแผ่นเล็กๆ และที่สำคัญ ต้องไม่มีการ kill idea อันไหนเด็ดขาด! เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้สมาชิกในทีมของคุณไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรอีกเลย […]
สกัดลอกวิทยานิพนธ์! จุฬาฯขยายเวลาใช้“อักขราวิสุทธิ์(พลัส)”ฟรีอีก 5 ปี

จุฬาฯขยายเวลาความร่วมมือกับ 87 หน่วยงาน ให้ใช้โปรแกรม “อักขราวิสุทธิ์ (พลัส)”ฟรีอีก 5 ปี สกัดการคัดลอกวิทยานิพนธ์ที่เป็นปัญหาคุกคามอยู่ในแวดวงวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับสถาบันอุดมศึกษา หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ จำนวน 87 แห่ง ในการขยายเวลาข้อตกลงความร่วมมือการตรวจสอบการลอกเลียนแบบวรรณกรรม ให้ใช้โปรแกรม “อักขราวิสุทธิ์ (พลัส)” โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ออกไปอีกเป็นเวลา 5 ปี จนถึงวันที่ 26 มีนาคม 2570 โดย นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทางวิชาการที่ใช้งานโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ในการตรวจสอบการลอกเลียนวรรณกรรมแล้ว ยังเป็นการแสดงจุดยืน เจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจต่อการแก้ไขปัญหาการลอกเลียนวรรณกรรม ที่กำลังเป็นปัญหาคุกคามอยู่ในแวดวงวิชาการในปัจจุบัน และยังเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการปลูกฝังความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นคุณธรรมสำคัญของนิสิตนักศึกษา นักวิชาการ ทั้งในแวดวงการศึกษาและวงวิชาการต่าง ๆ รวมถึงการร่วมมือกันส่งเสริมและผลักดันเพื่อสร้างและขยายฐานข้อมูลอ้างอิง เพื่อการตรวจสอบการลอกเลียนวรรณกรรมของประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่งและเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากทุกสถาบันการศึกษา […]
<strong>8 เทคนิคขั้นเทพที่ช่วยให้คุณเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ</strong>

ใคร ๆ ก็คงอยากเรียนเก่ง ฉลาด และมีความจำเป็นเลิศ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนประสบปัญหาอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าหัว เรียนไม่เก่ง จำไม่ได้หากคุณปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะส่งผลต่อความได้เปรียบ โอกาสในชีวิต และความภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้น คุณควรพัฒนาตนเองให้เก่งและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำตามเทคนิค 8 ข้อในบทความนี้ 1) จับประเด็นให้ได้ สรุปความให้เป็น ความสามารถในการสรุปความเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน คุณไม่จำเป็นต้องจดทุกคำพูดหรือทุกตัวอักษร แต่คุณต้องจับประเด็นสำคัญในสิ่งที่คุณฟังหรืออ่าน และถ่ายทอดความเข้าใจนั้นออกมาโดยใช้คำพูดของตนเอง วิธีการฝึกฝนทักษะนี้ก็คือ หลังจากที่คุณอ่านหรือฟังข้อความยาว ๆ ให้คุณลองเขียนสรุปใจความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้ว่าตนเองเข้าใจเนื้อหาสาระและสามารถจับประเด็นสำคัญได้หรือไม่ 2) ใช้ความกดดันเป็นพลังผลักดัน หากคุณทำให้ตนเองรู้สึกกดดันบ้าง คุณจะสามารถผลักดันความสามารถของตนเองได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจำกัดเวลาในการเรียนรู้ของตนเอง หรือคุณอาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น เป็นต้น แรงกดดันนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดและกดดันแต่มันทำให้คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามทำให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ 3) หลีกหนีสิ่งรบกวน โลกที่เราอาศัยอยู่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุที่รบกวนการเรียนรู้ และทำให้สมาธิของคุณวอกแวก เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น ดังนั้น หากคุณต้องการเรียนรู้ได้ดี และมีประสิทธิภาพ คุณควรหลีกหนีจากสิ่งยั่วยุเหล่านั้นเพราะความปรารถนาที่จะเรียนรู้อาจยังไม่พอที่จะทำให้คุณเรียนได้ดี แต่คุณต้องรู้จักที่จะปฏิเสธสิ่งรบกวนรอบตัวคุณด้วยดังนั้น ในขณะที่คุณอยู่ในห้องเรียน คุณควรปิดอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ หากคุณอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียน คุณควรปิดวิทยุ หรือเปิดเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสมาธิ และจดจ่อกับการเรียนรู้มากขึ้น 4) ฝึกฝนจนชำนาญ สิ่งใดที่กระทำซ้ำ ๆ หรือมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้ฝึกย่อมทำสิ่งนั้นได้ดี ในทางกลับกัน สิ่งใดที่ไม่ได้ทำนาน ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกลืมหรือทำไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นจงอย่ารอช้าที่จะฝึกฝน และทำซ้ำ หนึ่งในวิธีที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ และทำให้คุณหลงลืมได้น้อยลงก็คือ การจดบันทึก กล่าวคือ ยิ่งคุณเขียนมาก คุณก็จะยิ่งจำได้แม่นยำขึ้น เพราะการเขียนจะช่วยให้คุณมีสมาธิ และเมื่อคุณมีสมาธิ คุณก็จะสามารถจดจำสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้ อีกทั้งมันยังช่วยเรียบเรียงความคิดของคุณให้เป็นระบบและทำให้การเรียนรู้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น5) ใช้ภาพประกอบ หลายคนไม่รู้ว่าความจำมีความเชื่อมโยงกับการมองเห็น กล่าวคือ คนเราสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดี เมื่อเราเห็นภาพประกอบยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อเวลาผ่านไปคุณอาจจำชื่อของพวกเขาได้เพียงแค่ 1-2 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนเท่าๆกันในงานปาร์ตี้ คุณมีแนวโน้มที่จะจำพวกเขาได้มากกว่า 1-2 คนอย่างแน่นอน เพราะคุณได้เห็นหน้าตาพวกเขาจริงๆ และได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาผ่านการพูดคุย และการสัมผัส ดังนั้น คุณสามารถประยุกต์สิ่งนี้กับการเรียนรู้ของคุณ โดยการใช้ภาพประกอบเพราะมันจะทำให้คุณจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น 6) เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ แน่นอนว่าคนเราสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบได้ดีกว่าสิ่งที่เรารู้สึกเบื่อหน่าย หากคุณเปิดเพลงที่คุณชื่นชอบและไม่ได้ฟังมาเป็นระยะเวลาหลายปี คุณจะพบว่าตนเองยังสามารถจำเนื้อร้องได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น หากคุณเรียนรู้ในสิ่งที่คุณเกลียด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันเข้าหัว และคุณก็ไม่สามารถทำมันได้ดี ดังนั้น เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น คุณควรรักการเรียนรู้ ทำให้มันน่าสนใจ และจงคิดว่ามันให้ประโยชน์แก่ชีวิตคุณ เพราะแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญต่อการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ 7) พักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมีความสำคัญมาก เพราะมันส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ หากคุณลองสังเกตว่าวันใดที่คุณได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ สมองของคุณก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากวันใดคุณพักผ่อนน้อย คุณจะรู้สึกถึงความอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น และไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน ดังนั้น แทนที่คุณจะนอนดึกดื่นเพื่อโหมอ่านหนังสือ คุณควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมงเพื่อที่คุณจะได้รู้สึกสดชื่น และมีสมาธิกับสิ่งที่เรียนรู้ในแต่ละวัน 8) เชื่อมโยงสิ่งที่กำลังเรียนรู้กับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว การเชื่อมโยงสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้กับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วจะทำให้คุณสามารถจดจำได้ดียิ่งขึ้น เพราะคุณจะเห็นความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น หากคุณเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ คุณอาจนึกถึงคำศัพท์ที่คุณรู้อยู่แล้ว หรือนึกถึงบริบทที่คุณเคยเจอคำศัพท์นี้ในชีวิตประจำวัน วิธีการนี้จะทำให้คุณเข้าใจและเห็นความสอดคล้องของความรู้ต่างๆบนโลกใบนี้ Credit: https://bit.ly/3QBTyNS #เรียนวิจัย #รับติวสอบ #รับปรึกษางานวิจัย #ทำdissertation #ทำthesis #ทำวิทยานิพนธ์ #ทำวิทยานิพนธ์ปตรี #ทำวิทยานิพนธ์ปโท #ทำวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนโปรแกรมSPSS #รับทำงานวิจัย #ที่ปรึกษางานวิจัย #รับทำดุษฎีนิพนธ์ #รับติววิทยานิพนธ์ #รับติวธีสิส #รับติวสารนิพนธ์ #รับติววิจัย #รับติวงานวิจัย #รับสอนวิทยานิพนธ์ #รับสอนธีสิส #รับสอนสารนิพนธ์ #รับสอนวิจัย #รับสอนงานวิจัย #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ #รับปรึกษาธีสิส #รับปรึกษาสารนิพนธ์ #รับปรึกษาวิจัย #รับปรึกษางานวิจัย #รับติววิทยานิพนธ์ปตรี #รับติววิทยานิพนธ์ปโท #รับติววิทยานิพนธ์ปเอก #รับสอนวิทยานิพนธ์ปตรี #รับสอนวิทยานิพนธ์ปโท #รับสอนวิทยานิพนธ์ปเอก #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปตรี #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปโท #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนทำวิจัย ##รับสอนดุษฎีนิพนธ์ #รับติวดุษฎีนิพนธ์ #รับปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ #ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ปรึกษาวิจัย #ปรึกษางานวิจัย #ทำวิจัยปโท #phdthesis #หัวข้อวิทยานิพนธ์ #รับทำdissertation #บริษัทรับทำวิจัย #รับเขียนบทความวิชาการ #thesiswriter #spssราคา #ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ทำวิจัยพยาบาล #รับปรึกษาวิจัย #ราคารับทำงานวิจัย #รับทำวิจัยSTATA #รับวิเคราะห์ข้อมูลSTATA #รับทำSTATA #รับแปลผลSTATA #รับทำ#วิทยานิพนธ์STATA
<strong>จริยธรรมการวิจัย คืออะไร</strong>

ความหมายของจริยธรรมการวิจัย จริยธรรมการวิจัย (research ethics) หมายถึง หลักเกณฑ์ที่ควรประพฤติปฏิบัติของนักวิจัยเพื่อให้การดำเนินงานวิจัยตั้งอยู ่บนพื้นฐานของจริยธรรมและหลักวิชาการที่เหมาะสม (สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห ่งชาติ, 2541 อ้างใน สินธะวา คามดิษฐ์, 2550: 262) ข้อสังเกต นอกจากคำว่าจริยธรรมในการวิจัยแล้ว ยังมีคำอื่นที่นักวิจัยกล่าวถึงบ่อยครั้ง เช่น คำว่า ‘จรรยาบรรณในการวิจัย’หรือ‘จรรยาบรรณของวิจัย’อย ่างไรก็ตาม หากพิจารณาในรายละเอียดของสองคำนี้แล้ว พบว่าคำเหล่านี้มีหลักการและแนวคิดที่คล้ายคลึงกันหรือใกล้เคียงกัน กล่าวคือ ทั้งสองคำข้างต้นจะเน้นในเรื่องหลักเกณฑ์ที่ควรประพฤติปฏิบัติของนักวิจัย (ชาย โพธิสิตา, 2547; สุชาต ประสิทธิ์รัฐสินธุ์, 2542; สินธะวา คามดิษฐ์, 2550) ดังนั้นบทความนี้จะใช้คำว่า ‘จริยธรรมการวิจัย’ ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า research ethics เพื่อสื่อความหมายในเรื่องการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องของนักวิจัยในการทำวิจัย ปัญหาการขาดจริยธรรมการวิจัย ในฐานะนักวิจัยและกรรมการพิจารณาผลงานวิจัย ผู้เขียนได้พบเจอปัญหาการขาดจริยธรรมการวิจัยของนักศึกษาและนักวิจัยในหลายๆประเด็น ซึ่งพอสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ การคัดลอกผลงาน ข้อความ หรือความคิดเห็นของผู้อื่น (บางส่วนหรือทั้งหมด) โดยไม่อ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล หรือบางรายอาจคัดลอกผลงานแล้วนำมาใช้เป็นผลงานของตนเอง การขโมยความคิดหรือคำพูดของผู้อื่นโดยไม่ได้อ้างอิง (plagiarism) การเขียนทบทวนวรรณกรรมโดยไม่อ้างถึงเจ้าของผลงานหรือแหล่งข้อมูล การนำข้อความของผู้อื่นมาดัดแปลงตัดต่อหรือแก้ไขเพื่อเป็นข้อความของตนเอง แต่ไม่อ้างถึงเจ้าของผลงานเดิม การแก้ไขผลการวิจัย ตัวเลข หรือข้อมูลบางอย่างที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง การเปิดเผยหรือไม่เก็บความลับของผู้ให้ข้อมูล รวมทั้งการขาดความรับผิดชอบต่อการรักษาข้อมูลการปฏิบัติต่อผู้ให้ข้อมูลอย่างไม่เป็นธรรม การสร้างภัยคุกคามให้แก่ผู้ให้ข้อมูล หรือ การทำให้ผู้ให้ข้อมูลได้รับอันตรายหรืออับอาย จากการวิจัย การเขียนข้อเสนอแนะจากแนวคิดของผู้อื่น แต่ไม่อ้างถึงเจ้าของแนวคิดนั้น การจ้างวานผู้อื่นทำงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ให้บางส่วนหรือทั้งหมด การขาดความรับผิดชอบในการทำวิจัยหรือการดำเนินงานวิจัยให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาจากปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นความสำคัญของจริยธรรมการวิจัย และเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องมีประเด็นเรื่องจริยธรรมการวิจัย […]
<strong>8 เทคนิคขั้นเทพที่ช่วยให้คุณเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ</strong>

ใคร ๆ ก็คงอยากเรียนเก่ง ฉลาด และมีความจำเป็นเลิศ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนประสบปัญหาอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าหัว เรียนไม่เก่ง จำไม่ได้หากคุณปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะส่งผลต่อความได้เปรียบ โอกาสในชีวิต และความภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้น คุณควรพัฒนาตนเองให้เก่งและสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำตามเทคนิค 8 ข้อในบทความนี้ 1) จับประเด็นให้ได้ สรุปความให้เป็น ความสามารถในการสรุปความเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวัยเรียนและวัยทำงาน คุณไม่จำเป็นต้องจดทุกคำพูดหรือทุกตัวอักษร แต่คุณต้องจับประเด็นสำคัญในสิ่งที่คุณฟังหรืออ่าน และถ่ายทอดความเข้าใจนั้นออกมาโดยใช้คำพูดของตนเอง วิธีการฝึกฝนทักษะนี้ก็คือ หลังจากที่คุณอ่านหรือฟังข้อความยาว ๆ ให้คุณลองเขียนสรุปใจความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้ว่าตนเองเข้าใจเนื้อหาสาระและสามารถจับประเด็นสำคัญได้หรือไม่ 2) ใช้ความกดดันเป็นพลังผลักดัน หากคุณทำให้ตนเองรู้สึกกดดันบ้าง คุณจะสามารถผลักดันความสามารถของตนเองได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจำกัดเวลาในการเรียนรู้ของตนเอง หรือคุณอาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น เป็นต้น แรงกดดันนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดและกดดันแต่มันทำให้คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามทำให้ตนเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ 3) หลีกหนีสิ่งรบกวน โลกที่เราอาศัยอยู่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุที่รบกวนการเรียนรู้ และทำให้สมาธิของคุณวอกแวก เช่น โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น ดังนั้น หากคุณต้องการเรียนรู้ได้ดี และมีประสิทธิภาพ คุณควรหลีกหนีจากสิ่งยั่วยุเหล่านั้นเพราะความปรารถนาที่จะเรียนรู้อาจยังไม่พอที่จะทำให้คุณเรียนได้ดี แต่คุณต้องรู้จักที่จะปฏิเสธสิ่งรบกวนรอบตัวคุณด้วยดังนั้น ในขณะที่คุณอยู่ในห้องเรียน คุณควรปิดอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ หากคุณอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียน คุณควรปิดวิทยุ หรือเปิดเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง วิธีการนี้จะทำให้คุณมีสมาธิ และจดจ่อกับการเรียนรู้มากขึ้น 4) ฝึกฝนจนชำนาญ สิ่งใดที่กระทำซ้ำ ๆ หรือมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้ฝึกย่อมทำสิ่งนั้นได้ดี ในทางกลับกัน สิ่งใดที่ไม่ได้ทำนาน ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะถูกลืมหรือทำไม่ได้เหมือนเดิม ดังนั้นจงอย่ารอช้าที่จะฝึกฝน และทำซ้ำ หนึ่งในวิธีที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำ และทำให้คุณหลงลืมได้น้อยลงก็คือ การจดบันทึก กล่าวคือ ยิ่งคุณเขียนมาก คุณก็จะยิ่งจำได้แม่นยำขึ้น เพราะการเขียนจะช่วยให้คุณมีสมาธิ และเมื่อคุณมีสมาธิ คุณก็จะสามารถจดจำสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้ อีกทั้งมันยังช่วยเรียบเรียงความคิดของคุณให้เป็นระบบและทำให้การเรียนรู้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น5) ใช้ภาพประกอบ หลายคนไม่รู้ว่าความจำมีความเชื่อมโยงกับการมองเห็น กล่าวคือ คนเราสามารถจดจำสิ่งต่างๆได้ดี เมื่อเราเห็นภาพประกอบยกตัวอย่างเช่น หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนผ่านทางโทรศัพท์ เมื่อเวลาผ่านไปคุณอาจจำชื่อของพวกเขาได้เพียงแค่ 1-2 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่จำนวน 10 คนเท่าๆกันในงานปาร์ตี้ คุณมีแนวโน้มที่จะจำพวกเขาได้มากกว่า 1-2 คนอย่างแน่นอน เพราะคุณได้เห็นหน้าตาพวกเขาจริงๆ และได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาผ่านการพูดคุย และการสัมผัส ดังนั้น คุณสามารถประยุกต์สิ่งนี้กับการเรียนรู้ของคุณ โดยการใช้ภาพประกอบเพราะมันจะทำให้คุณจดจำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น 6) เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ แน่นอนว่าคนเราสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบได้ดีกว่าสิ่งที่เรารู้สึกเบื่อหน่าย หากคุณเปิดเพลงที่คุณชื่นชอบและไม่ได้ฟังมาเป็นระยะเวลาหลายปี คุณจะพบว่าตนเองยังสามารถจำเนื้อร้องได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น หากคุณเรียนรู้ในสิ่งที่คุณเกลียด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันเข้าหัว และคุณก็ไม่สามารถทำมันได้ดี ดังนั้น เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น คุณควรรักการเรียนรู้ ทำให้มันน่าสนใจ และจงคิดว่ามันให้ประโยชน์แก่ชีวิตคุณ เพราะแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญต่อการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ 7) พักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมีความสำคัญมาก เพราะมันส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ หากคุณลองสังเกตว่าวันใดที่คุณได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ สมองของคุณก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากวันใดคุณพักผ่อนน้อย คุณจะรู้สึกถึงความอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น และไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน ดังนั้น แทนที่คุณจะนอนดึกดื่นเพื่อโหมอ่านหนังสือ คุณควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมงเพื่อที่คุณจะได้รู้สึกสดชื่น และมีสมาธิกับสิ่งที่เรียนรู้ในแต่ละวัน 8) เชื่อมโยงสิ่งที่กำลังเรียนรู้กับสิ่งที่รู้อยู่แล้ว การเชื่อมโยงสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้กับสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วจะทำให้คุณสามารถจดจำได้ดียิ่งขึ้น เพราะคุณจะเห็นความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น หากคุณเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ คุณอาจนึกถึงคำศัพท์ที่คุณรู้อยู่แล้ว หรือนึกถึงบริบทที่คุณเคยเจอคำศัพท์นี้ในชีวิตประจำวัน วิธีการนี้จะทำให้คุณเข้าใจและเห็นความสอดคล้องของความรู้ต่างๆบนโลกใบนี้ Credit: https://bit.ly/3QBTyNS #เรียนวิจัย #รับติวสอบ #รับปรึกษางานวิจัย #ทำdissertation #ทำthesis #ทำวิทยานิพนธ์ #ทำวิทยานิพนธ์ปตรี #ทำวิทยานิพนธ์ปโท #ทำวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนโปรแกรมSPSS #รับทำงานวิจัย #ที่ปรึกษางานวิจัย #รับทำดุษฎีนิพนธ์ #รับติววิทยานิพนธ์ #รับติวธีสิส #รับติวสารนิพนธ์ #รับติววิจัย #รับติวงานวิจัย #รับสอนวิทยานิพนธ์ #รับสอนธีสิส #รับสอนสารนิพนธ์ #รับสอนวิจัย #รับสอนงานวิจัย #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ #รับปรึกษาธีสิส #รับปรึกษาสารนิพนธ์ #รับปรึกษาวิจัย #รับปรึกษางานวิจัย #รับติววิทยานิพนธ์ปตรี #รับติววิทยานิพนธ์ปโท #รับติววิทยานิพนธ์ปเอก #รับสอนวิทยานิพนธ์ปตรี #รับสอนวิทยานิพนธ์ปโท #รับสอนวิทยานิพนธ์ปเอก #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปตรี #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปโท #รับปรึกษาวิทยานิพนธ์ปเอก #สอนทำวิจัย ##รับสอนดุษฎีนิพนธ์ #รับติวดุษฎีนิพนธ์ #รับปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ #ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ปรึกษาวิจัย #ปรึกษางานวิจัย #ทำวิจัยปโท #phdthesis #หัวข้อวิทยานิพนธ์ #รับทำdissertation #บริษัทรับทำวิจัย #รับเขียนบทความวิชาการ #thesiswriter #spssราคา #ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ #ทำวิจัยพยาบาล #รับปรึกษาวิจัย #ราคารับทำงานวิจัย #รับทำวิจัยSTATA #รับวิเคราะห์ข้อมูลSTATA #รับทำSTATA #รับแปลผลSTATA #รับทำ#วิทยานิพนธ์STATA
<strong>โปรแกรมสำหรับงานวิจัย STATA คืออะไร </strong>

รับวิเคราะห์ข้อมูล,รับวิเคราะห์SPSS, รับวิเคราะห์ EVIEW, รับวิเคราะห์ SAS, รับวิเคราะห์ STATA , รับวิเคราะห์ AMOS และ LISREL, เทคนิคการทำวิจัย รับทำวิจัย จ้างทำวิจัย ปรึกษาการรับทำวิทยานิพนธ์ ปรึกษาการทำดุษฎีนิพนธ์ รับวิเคราะห์ข้อมูล SPSS EVIEW STATA AMOS LISREL / การใช้งาน STATA, คู่มือ STATA, รับทำวิจัย STATA, รับวิเคราะห์ STATA, รับวิเคราะห์ข้อมูล STATA, โปรแกรม STATA, โปรแกรมSTATA โปรแกรม STATA กับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่องานวิจัย Stata/SE 17 Government License เป็นโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลที่จัดอยู่ในประเภท โปรแกรมสำหรับองค์กร (Corporate Software) ทั้งองค์กรธุรกิจ และองค์กรรัฐ โปรแกรมStata ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นสำหรับใช้วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในรูปตัวเลขสถิติทุกประเภท ทั้งข้อมูลจากการทดลอง […]